ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้านันทบุเรง
ได้รับการฝึกฝนทางด้านการรบตั้งแต่เล็กๆ เช่นเดียวกับพระนเรศวร
แต่พระปรีชาสามารถค่อนข้างน้อยกว่า ทำให้พระราชบิดาทรงดูถูก
ติเตียนอยู่เสมอ ในประวัติศาสตร์เป็นคนที่รบแพ้หลายครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นศึกเมืองคัง พระองค์ไม่สามารถเอาชนะพวกไทยใหญ่ได้
หรือช่วงที่พระบิดายกทัพไปอังวะ
พระนเรศวรเข้ามากวาดต้อนครัวไทยถึงหงสาวดีก็มิสามารถทานได้
จนเป็นเหตุให้สุรกรรมาถูกยิงตายที่แม่น้ำสะโตง เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดคือ
ถูก พระนเรศวรฟันด้วยพระแสงของ้าวสิ้นพระชนม์ ในสงครามยุทธหัตถี
มังสามเกียด
พระเจ้าบุเรงนองได้อภิเษกกับพระพี่นางของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ และมีบุตรพระนามว่าพระเจ้านันทบุเรง และมังกยอชวาผู้รับการยกย่องว่าเป็นนักรบ”ผู้ชนะสิบทิศ”ได้
ขึ้นครองราชย์แทนที่เมืองหงสาวดี
พระเจ้าบุเรงนองสามารถปราบอังวะของพวกไทยใหญ่ พวกมอญ พวกเชียงใหม่ และ พ.ศ.
2112 พระเจ้าบุเรงนองได้มีชัยชนะต่อกรุงศรีอยุธยาในสงครามเสียกรุงครั้งที่หนึ่งด้วยกลอุบายใช้พระยาจักรีเป็น
ไส้ศึก(บุเรงนองเป็นแม่ทัพของพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้
เคยเข้ามาทำสงครามสมัยพระเจ้าจักรพรรดิ์ คราวสงครามขอช้างเผือก
จึงรู้เส้นทางและวิธีรบของคนไทย)
พระเจ้าบุเรงนองสามารถสร้างอาณาจักรพม่าคืนสู่อำนาจอีกครั้ง
หนึ่ง อาณาจักรพม่าขยายตัวตั้งแต่ลุ่มน้ำมณีปุระถึงแม่น้ำโขง
หลังจากบุเรงนองสวรรคตในปี พ.ศ.2124 พระเจ้านันทบุเรง โอรสพระเจ้า
บุเรงนองครองราชย์ต่อ ทรงให้พระมหาอุปราชา (มังสามเกียด)
ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาจนเกิดสงครามยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อ
พ.ศ.2142 หลังจากนั้นอาณาจักรมอญที่เมืองหงสาวดีเสื่อมโทรมลง พ.ศ.2158
พม่าโจมตีพวกมอญแล้วจึงย้ายเมืองหลวงจากอังวะมาตั้งที่เมืองหงสาวดี(หรือพะ
โค) แล้วย้ายกลับไปอังวะอีก พระเจ้าบุเรงนองสิ้นพระชนม์ในพระชนม์ 65 พรรษา
มังไชยสิงห์โอรส เป็นราชทายาทขึ้นครองราชย์พระนามพระเจ้านันทบุเรง
มังกยอชวา เป็นมหาอุปราช เจ้าประเทศราชใหญ่น้อยมาเฝ้าตามประเพณี
ทางกรุงศรีฯ พระนเรศวนอาสาสมเด็จพระราชบิดาไปแทนเพื่อฟังเหตุการณ์
ประเทศราชแสดงออกห่างอย่างกรุงศรีฯ และทรงคาดว่าจะมี่เรื่องทางหงสาวดี
พอดีเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคังเป็นกบฏ พระเจ้านันทบุเรงให้ 1.พระมหาอุปราช
2.พระสักกะทัต (นัดจินหน่อง) เมืองตองอู และ
3.ทัพพระนเรศวรยกไปปราบเมืองคัง
ทัพมหาอุปราชและเจ้าเมืองตองอูตีเมืองคังไม่ได้
ทัพกรุงศรีเข้าไปตีเมืองคังได้ เป็นเหตุให้อับอายและเกลียดชังพระนเรศวร
แต่นั้นมาทั้งพระเจ้าหงสาวดีด้วย แต่ก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลตามพระราช
พ.ศ.2126 ทางหงสาวดีมีเหตุการณ์พระเจ้านันทบุเรงเป็นอริกับพระเจ้าอังวะ
(มังกยอชวา มหาอุปราช ซึ่งสมรสกับพระธิดาของพระเจ้าอังวะ
ต่อมามหาอุปราชมีชายาใหม่ เกิดวิวาททุบตีพระธิดาถึงบาดเจ็บ
ฟ้องไปอังวะว่าพระเจ้าหงสาวดีเข้ากับมหาอุปราช)
ทางอังวะเกลี้ยกล่อมเจ้าฟ้าไทยใหญ่แข็งเมือง พระเจ้านันทบุเรงให้จัดทัพมี
ทัพหงสาวดี ทัพเมืองตองอู ทัพเมืองเชียงใหม่ ทัพเมืองแปร ทัพเวียงจันทน์
ทัพกรุงศรีฯ ให้พระมหาอุปราชอยู่รักษาพระนครหงสาวดี กองทัพทั้ง 5 ขึ้นไปถึง
ตีเมืองอังวะตามกำหนดนัด เว้นแต่ทัพพระนเรศวร
พระเจ้านันทบุเรงเกิดระแวะว่าจะเป็นอุบาย
จึงให้พระมหาอุปราชคิดกำจัดพระนเรศวรเสียเมื่อไปถึง พ.ศ.2126
พระนเรศวรออกจากกรุงศรีฯ พ.ศ.2127 ถึงเมืองแครงกินเวลาเดินทาง 2 เดือนเศษ
พระมหาอุปราชวางอุบายกับมอญเมืองแครงกำจัดพระนเรศวร
แต่งพระยาเมืองมอญมีพระยาเกียรติ พระยาราม เป็นข้าหลวงต้อนรับเสด็จ
ได้ขยายความลับ
มอญเมืองแครงที่เกลียดหงสาวดีรู้ข่าวไปเล่าให้พระมหาเถรคันฉ่อง
พระนเรศวรไปเยี่ยมพระมหาเถรฯ
ให้ระวังพระองค์เกลี้ยกล่อมพระยามอญเข้าสวามิภักดิ์ทูลความจริงให้ทรงทราบ
พ.ศ.2127 ณ เมืองแครงพระนเรศวรประชุมและประกาศ "ตั้งแต่วันนี้
กรุงศรีอยุธยาขาดทางไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิเป็นมิตรกันดังแต่ก่อนสืบไป"
หลั่งน้ำจากสุวรรณภิงคารลงเหนือแผ่นดิน เป็นสักขีพยาน
พุ่งเข้าไปถึงชานเมืองหงสาวดี เข้าฤดูฝน
จึงให้แยกไปรับพาครอบครัวไทยที่ถูกวาดไปเอากลับ ข้ามแม่น้ำสะโตง
และมาตั้งมั่นอีกฝั่งหนึ่ง
พอดีพระเจ้านันทบุเรงชนะเมืองอังวะยกพลกลับให้พระมหาอุปราชติดตามทัพกรุง
ศรีฯ สุรกรรมมาเป็นทัพหน้า มาทันที่แม่น้ำสะโตงฝั่งตรงข้าม
พระนเรศวรทรงพรแสงปืนยาวยิงถูกสุรกรรมมานิ่งอยู่กับคอช้าง
ทัพหงสาวดีถอยกลับ ปรากฏนามต่อมาว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง"
นับในพระแสงอัษฏาวุธ เป็นเครื่องราชูปโภคสำหรับแผ่นดินสืบมา
ไทยยกกลับทางเมืองมอญ เข้าทางด่านเจดีย์สามองค์
พ.ศ.2127 หัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยเมืองสวรรคโลก เมืองพิชัย
คาดการณ์ว่าแพ้หงสาวดี ก็แข็งเมือง
พระนเรศวรยกทัพไปปราบจับเจ้าเมืองทั้งสองได้ให้กำจัดเสีย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น